ข่าวเด่นข่าวดังในรอบปี 2012


ข่าวแรกเริ่มกันที่การขึ้นสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 ของบารัค โอบามา ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีนัก และปัญหาที่ต้องพบกับความขัดแย้งในประเทศโลกที่สามอย่างซีเรีย และปัญหานิวเคลียร์อิหร่านที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดลง และยังต้องเผชิญกับการแข่งขันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการทหารกับประเทศพญามังกรอย่างจีนที่นับวัน ก็ยิ่งพัฒนาศักยภาพของตนให้เท่าทันกับพญาอินทรีอย่างสหรัฐอเมริกาเข้าทุกที การตั้งรับของประธานาธิบดีโอบามาสมัยที่ 2 นี้จะเป็นเช่นไร ติดตามเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายใน 4 ปีข้างหน้านี้อย่ากระพริบตา

ข่าวที่สองหนีไม่พ้นเรื่องข่าวเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจหนี้ยุโรป ที่นับวันก็ยิ่งทำให้ประเทศที่ต้องประสบปัญหาอย่างประเทศกรีซ รัฐบาลต้องออกมาใช้นโยบายรัฐเข็มขัดกันครั้งแล้วครั้งเล่า และยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแต่ประการใดท่ามกลางการช่วยเหลือจากสมาชิกในกลุ่มยูโรโซนด้วยกัน รายนามของประเทศที่กำลังเข้าสู่ประเทศที่อยู่ในภาวะถดถอยอันได้แก่ กรีซ สเปน อิตาลี โปตุเกส และไซปรัส สหภาพยุโรป กลุ่มประเทศที่เคยมั่งคั่งจากการปฏิวัตอุตสาหกรรมในช่วงกลางศตวรรษที่ี 17 จะรอดจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้หรือไม่ ฤาอาจจะต้องพบจุดจบอย่างการล่มสลายของสหภาพยุโรปก็อาจเป็นได้ เพราะอังกฤษเองก็ออกตัวประกาศไปแล้วว่า จะถอนตัวออกจากสมาชิก EU แต่คงจะไม่ใช่ในเวลาอันเร็วนี้

ข่าวที่สามเป็นข่าวหนังหมิ่นศาสนาอิสลาม เรื่อง innocence of muslims กำกับโดยนาคูลา บาสเซลลี ที่เนื้อเรื่องเป็นการดูหมิ่นองค์พระศาสดาของศาสนาอิสลาม จึงทำให้เกิดการประท้วงกันอย่างหนักในประเทศกลุ่มมุสลิม และยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดการฆาตกรรมจากการที่กลุ่มผู้ประท้วงได้บุกเข้าไปในสถานทูต สถานกงสุล จนเป็นเหตุให้เอกอัครราชทูตของสหรัฐในประเทศลิเบียต้องเสียชีวิต

ข่าวดังแห่งปีข่าวที่สี่ ประเทศเผด็จการอำนาจนิยมที่ทั่วโลกต่างจับตามองมากที่สุดนั่นก็คือเกาหลีเหนือ ปีที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนตัวผู้นำจากคิมจองอิล ที่เสียชีวิตมาสู่ตัวลูก คิมจองอึน ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนผ่านอำนาจครั้งสำคัญ และเกาหลีเหนือยังต้องประสบปัญหากับการขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน และการคว่ำบาตรจากประเทศต่าง ๆ ที่นำโดยสหรัฐอเมริกาที่ต่อต้านเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนืออย่างถึงที่สุด แต่ปลายปีที่ผ่านมานี้เกาหลีเหนือก็ได้ทดลองการยิงขีปนาวุธและประสบความสำเร็จท่ามกลางเสียงประณามจากทั่วโลก

ข่าวที่ห้าเป็นเหตุที่เกิดต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เรียกว่า อาหรับสปริง นั่นก็คือเหตุการณ์สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในซีเรีย เหตุเริ่มปะทุมาตั้งแต่ต้นปีจากการที่ผู้ชุมนุมประท้วง และฝ่ายค้าน ได้ร่วมมือกับกองกำลังกบฏเพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการอาซาส และทำให้สหรัฐอเมริกาเข้าแทรกแซงและสนับสนุนฝ่ายต่อต้าน ทำให้เหตุการณ์นับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงในเร็ววัน

ข่าวต่อมาเป็นการแข่งขันกีฬาโอลิมและพาราลิมปิกที่ประเทศสหราชอาณาจักร ที่จัดขึ้น ณ เมืองลอนดอน ที่เปิดตัวอย่างอลังการ ในขณะที่เจ้าเหรียญทองของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้คือ สหรัฐอเมริกา จีน และอังกฤษ ตามลำดับ ส่วนไทยนั้นติดอันดับที่ 57

ข่าวที่เจ็ดเป็นข่าวที่ประเทศพม่าได้เปิดประเทศ และนางอองซานซูจีได้รับเลือกตั้งเป็น สส ของพม่า และเข้าไปนั่งในรัฐสภาเป็นครั้งแรกในรอบ 29 ปีหลังจากถูกสั่งกักบริเวณจากรัฐบาลเผด็จการทหาร และมีการเยือนพม่าของผู้นำสหรัฐหลังจากที่สหรัฐได้คว่ำบาตรพม่ามาอย่างยาวนาน และเป็นที่น่าจับตามองก็คือพม่าจะเป็นเจ้าภาพอาเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถือเป็นบทบาทสำคัญของพม่าที่จะพิสูจน์ศัพยภาพของตนเองและพร้อมที่จะพัฒนาให้มีฐานะทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน



เรียบเรียงโดย  จิรวัฒน์  ศรีเรือง  ( พี่เฟรม )